icon icon-Vector-3
Social
Address
SQUARE COMMERCIAL CO., LTD.
1 Soi Rattanathibet 22 Yak 7,
Bangkrasor, Nonthaburi 11000
Contact
Tel. (+66) 2591-9864-6
Fax: (+66) 2950-3369
Email: squareoilcommercial@gmail.com
น้ำมันเครื่องเป็นส่วนสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในการดูแลรักษารถยนต์ของคุณ ซึ่งมีบทบาทสำคัญใน การทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยาวนาน การเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมและการเปลี่ยนถ่ายตามระยะเวลาที่กำหนด จะช่วยป้องกันการเกิดปัญหาที่อาจส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ได้
ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับน้ำมันเครื่อง ตั้งแต่ประเภทของน้ำมันเครื่อง องค์ประกอบที่สำคัญ หน้าที่และคุณสมบัติของน้ำมันเครื่อง รวมถึงเคล็ดลับในการเลือกและบำรุงรักษา เพื่อให้คุณสามารถดูแลรถยนต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
น้ำมันเครื่องคืออะไร
น้ำมันเครื่องเป็นสารหล่อลื่นที่ใช้ในการทำงานของเครื่องยนต์ โดยมีหน้าที่หลักในการลดการเสียดสีระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ ช่วยให้การทำงานของเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพและลดการสึกหรอ ซึ่งน้ำมันเครื่องจะถูกหมุนเวียนภายในเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น โดยทั่วไปจะมีการเติมน้ำมันเครื่องใหม่เมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการ บำรุงรักษารถยนต์
องค์ประกอบของน้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องมีองค์ประกอบที่สำคัญหลายอย่าง เช่น:
1. น้ำมันฐาน (Base Oil) : เป็นส่วนประกอบหลักที่ทำให้เกิดน้ำมันเครื่อง โดยมีน้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งต้องผ่านกระบวนการทางเคมีต่างๆ เพื่อให้ได้น้ำมันที่มีคุณภาพเหมาะสม
2. สารเติมแต่ง (Additives) : มีความสำคัญในการปรับปรุงคุณสมบัติของน้ำมันเครื่อง เช่น
ประเภทของน้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งหลักๆ ได้แก่:
1. น้ำมันธรรมชาติ (Conventional Oil): ผลิตจากน้ำมันดิบธรรมชาติ มักใช้ในรถยนต์ทั่วไปและมีราคาที่เข้าถึงได้ง่าย
2. น้ำมันสังเคราะห์ (Synthetic Oil): ผลิตจากกระบวนการทางเคมีที่มีคุณภาพสูงกว่า โดยมีความสามารถในการหล่อลื่นที่ดีกว่าและสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงได้ดี
3. น้ำมันผสม (Synthetic Blend Oil): เป็นการผสมระหว่างน้ำมันธรรมชาติและน้ำมันสังเคราะห์ มีคุณสมบัติที่ดีกว่าน้ำมันธรรมชาติ แต่ราคายังไม่สูงเท่าน้ำมันสังเคราะห์ล้วน
หน้าที่และคุณสมบัติของน้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องมีหน้าที่หลักหลายประการ ได้แก่:
1. การหล่อลื่น: ลดการเสียดสีระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่น
2. การป้องกันการสึกหรอ: ช่วยลดการสึกหรอที่เกิดจากการเสียดสี ทำให้เครื่องยนต์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
3. การระบายความร้อน: ช่วยลดอุณหภูมิภายในเครื่องยนต์ ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดความร้อนสูงเกินไปที่อาจทำให้เกิดความเสียหาย
4. การทำความสะอาด: สารเติมแต่งในน้ำมันเครื่องช่วยทำให้ตะกอนและสิ่งสกปรกถูกชะล้างออกไปจากเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสม
1. เลือกน้ำมันเครื่องตามค่าความหนืด (Viscosity) : ค่าความหนืดเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาน้ำมันเครื่องมักจะระบุด้วยตัวเลข เช่น 5W-30 หรือ 10W-40 ซึ่งค่าตัวเลขนี้บอกถึงความสามารถในการไหลในสภาพอากาศร้อนและเย็น
2. ประเภทน้ำมันเครื่อง
3. เลือกตามคู่มือรถยนต์ : ควรดูคำแนะนำจากคู่มือรถยนต์เสมอ เนื่องจากแต่ละรุ่นมีข้อกำหนด เฉพาะที่แตกต่างกันในด้านค่าความหนืดและประเภทน้ำมันเครื่องที่เหมาะสม
4. การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง : เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะทางที่แนะนำในคู่มือรถยนต์ โดยทั่วไปแล้ว น้ำมันธรรมชาติจะเปลี่ยนทุก 5,000-7,000 กิโลเมตร และน้ำมันสังเคราะห์ทุก 10,000- 15,000 กิโลเมตร
น้ำมันเครื่องมีบทบาทสำคัญในการช่วยเครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำหน้าที่หล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ลดการเสียดสีและการสึกหรอ ช่วยระบายความร้อนที่เกิดขึ้นจากการทำงานของเครื่องยนต์ นอกจากนี้ยังมีการแบ่งประเภทของน้ำมันเครื่อง เช่น น้ำมันธรรมชาติ น้ำมันสังเคราะห์ และน้ำมันผสม ซึ่งเหมาะสมกับการใช้งานในสภาพอากาศและสภาพการขับขี่ที่แตกต่างกัน การเลือกน้ำมันเครื่องที่ถูกต้องตาม ค่าความหนืดและประเภทที่เหมาะสม ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งาน ยาวนานขึ้น